วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ต้นตระกูลสุภวัตร

     สุภวัตร    มาจาก สุภ ที่แปลว่า ดีงาม  วัตร ที่แปลว่า กิจวัตร โดยรวมแปลว่า ผู้ที่มีกิจวัตรที่ดีงาม
นั้นเป็นที่มาของนามสกุล ของตระกูล ซึ้งเจ้าของต้นตระกูลต้องการสื่อความหมายให้ลูกหลานในตระกูล
ให้ยึดมั้นในเจตนารมณ์ของผู้ก่อตั้งวงศ์ตระกูลสุภวัตรขึ้นมาคือ นายเจริญ สุภวัตร และนางส้มจีน
สุภวัตรผู้ที่เป็นคุณปู่และคุญย่าหรือคุณทวด ของผู้เขียนกับน้องๆและหลานๆ
     จากคำบอกเล่าจากปากของป้าและอาโก ที่ผู้เขียนเคยได้รับฟังมาตอนเด็กๆว่าคุณปู่ท่านเสียชีวิตตอนท่านยังหนุ่มๆ ปู่เป็นคนหน้าตาดี เรียนเก่ง ลายมือสวย และชอบสั่งสอน นั้นเป็นคำพูดของป้า(เอ็ง)ที่ผู้เขียนยังจำได้สมัยเด็กๆ ผู้เขียนยังจินตนาการไปเรื่อยเพราะคุญปู่เสียตอนที่คุญพ่ออายุเพียง6-7 ปีเท่านั้นดังนั้นความทรงจำเกียวกับคุญปู่นั้นน้อยมากแต่กับคุญย่าส้มจีนนั้นผู้เขียนพอจะจดจำได้บ้างเพราะตอนคุญย่าเสียผู้เขียนมีอายุประมาณ 6-7 ปีได้มั้ง ย่าเป็นคนใจดีและย่าดูเหมือนจะรักผู้เขียนมากอาจเป็นเพราะเป็นหลานคนแรกของท่าน จำได้ว่าตอนเด็กๆ จะไปช่วยย่าขายของประจำเพราะย่าจะเตรียมขนมเอาไว้รอเสมอ มีอยูวันหนึ่งขณะที่ผู้เขียนจะไปหาย่าต้องเดินผ่านห้องของอีนวล มันเป็นหมาที่ย่าเลี้ยงไว้มันโดดกัดขาผู้เขียนทั้งๆที่มันถูกล่ามไว้ จำได้แม่นเลย และผู้เขียนอยากขายของย่าก็ซื้อพวกขนมมาให้ผู้เขียนขายกับน้องสาว หลังเรากลับจากโรงเรียน ย่าชอบให้นวดให้ประจำ ให้ขึ้นไปเหยียบบนหลังของท่านชอบให้เหยียบแรงๆผู้เขียนเลยกลายเป็นหมอนวดประจำตัวของย่า ย่าชอบเรียกใช้ไปนวดอยู่บ่อยๆ มันเป็นช่วงเวลาที่สั้นๆที่ได้ผูกพันกับย่า จำได้ว่าย่าไม่สบาย ท่านเป็นเบาหวานต้องกินยาและไปโรงพยาบาล
เหมือนตอนย่าเสีย เป็นช่วงกลางคืนไม่ดึกมากที่โรงพยาบาลพานทอง ตอนผู้เขียนไปถึงเห็นหมอและพยาบาลช่วยกันปั้มหัวใจ แต่ย่าก็ไม่ได้ตอบสนองแล้ว ตอนนั้นมีอาโก อาเจ็ก อยู่ด้วยแต่พ่อพานิชไม่อยู่
เพราะตอนนั้นพ่อไปทำงานอยู่ที่จันทบุรี แต่แม่ได้โทรให้พ่อกลับมาจัดงานศพย่า ผู้เขียนรักย่าร้องไห้เสียใจที่ย่าจากไปและยั้งคิดถึงย่าอยู่หลายปี ผู้เขียนยังทันเห็นย่าแม้จะเป็นช่วงเวลาที่ไม่นานนักแต่กับปู่ไม่ค่อยจะได้รับรู้เรื่องราวของปู่เท่าไหร จนมาไม่นานนักหลังจากพ่อพานิชได้เสียไป เมื่อพค 53 ประมาณ 1 ปี
พค 54 อาโกก็ได้เอาสมุดบันทึกของปู่ที่อาโกได้เก็บเอาไว้มาให้อ่านและบอกประวัติคราวๆ ก็ให้ทราบถึงประวัติท่านเพิ่มมากขึ้นและมีคำสอนต่างๆที่ท่านได้เขียนเอาไว้ก่อนที่จะเสียได้เขียนถึงเหตุการณ์ต่างๆเอาไว้ดังนี้


     ปู่เป็นบุตรชายของก๋งย่งไผ่และยายหอยแครง แซ่จึง ซึ่งก๋งย๋งไผ่มาจากเมืองจีนมาอยู่เมืองไทยตั้งแต่
เล็กๆกับน้องชายคือเล่าเจ็ก.....เป็นชาวจีนแต้จิ๋วที่มณทลกวางตุ้งที่อบยพมาทางเรือและมาอยู่ประเทศไทยและก๋งย่งไผ่ก็ได้แต่งงานกับยายหอยแครงเป็นชาวไทยและมีบุตรชายคือนายเจริญ แซ่จึงเป็นบุตรชายคนเดียวจนนายเจริญเติบโตอายุ 18 ปี และเริ่มรับราชการที่อำเภอพานทองในแผนกศึกษาธิการและได้แต่งงานกับนางส้มจีนอยู่กินกันมามีบุตร 3 คนต่อมาลาออกจากราชการาออกมาค้าขายกับเพื่อนและปู่มีการเขียนบันทึกเล่าเรื่องแบบย่อๆ
     บันทึกเมื่อ 24 มิถุนายน 2490
พานิช ลูกรักสมุดน้อยเล่มนี้ พ่อบันทึกด้วยลายมือของพ่อเอง เพื่อไว้เป็นอนุสรณ์ของลูก ลูกเกิดมาเมื่อพ่ออายุได้ 35 ปี แม่อายุได้ 33 ปี หลังจากอยู่กินด้วยกันมา 7 ปีจึงมามีพานิชลูกรักของพ่อ พานิชหนูคลอดที่บ้านท่านขุนอินทวราคม สาธารณสุขจังหวัดชลบุรี ณ บ้านตำบลบางปลาสร้อย โดยนางสาวทองแถม บุตรท่านขุนอินทวราคม เป็นนางผดุงครรภ์ทำคลอด การที่ไปคลอดที่นั้นก็เกรงว่าแม่ของหนูจะคลอดยากเพราะมามีลูกตอนอายุมาก แม่หนูเจ็บท้องนานถึง 2 วันเมื่อพานิชคลอดออกมามีรกพันคอสามรอบและใช้มือปิดหูสองข้างออกมานานตั้ง 7 นาทีจึงร้องได้ ทั้งนี้เข้าใจว่าจะสำลักน้ำค่ำและสลบ
แม่ทองแถมแก้ไขจนฟื้น ขณะที่คลอดพานิชพ่อก็อยู่และเกิดมาประมาณ 30 นาทีพ่อก็ตั้งชื่อให้ "พานิช"
การที่ให้ชื่อว่าพานิชก็โดยอาศัยเหตุที่ว่า พอมาทำการค้าขายก็มาได้ลูกชาย พ่อจึงให้ชื่อพานิช
     การทำการค้าเล็กน้อยโดยแม่ของพานิชเป็นผู้ขาย ส่วนพ่อคงทำราชการที่อำเภอพานทอง อาศัยเงิน
เดือนมาจุนเจือครอบครัว พ่อรับราชการเมื่ออายุ 18 ปี มาลาออกเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2490 เมื่อ
พานิชอายุได้ 3 ปี ตอนเมื่อพานิชเกิดเป็นช่วงระหว่างที่ประเทศไทยอยู่ในสภาพสงครามกับอังกฤษและ
อเมริกา โดยไทยเราเข้ากับฝ่ายญี่ปุ่นสงครามสงบเมื่อ 16 สิงหาคม 2488 ญี่ปุ่นยอมจำนนเพราะอนุภาพแห่งระเบิดปรมาณูที่อเริกานำไปทิ้งเกาะญี่ปุ่น ระหว่างสงครามเครื่องบริโภคแพงทุกอย่าง เมื่อสงครามสงบแล้วเครื่องบริโภคแพง
     พานิช คลอดได้ 9 วันพอวันที่ 10 แม่ก็พาขึ้นรถยนต์โดยสารจากชลบุรีกลับบ้านท่าตระกูด ในระยะแรกแม่ของพานิช มีนมไม่พอต้องจ้างแม่นมอยู่ราว 3 เดือน แม่ให้พานิชอดนมเมื่อพานิชอายุได้ 18 เดือน ในวันที่ 2 กรกฏาคม 2487 พ่อทำการโกนผมไฟให้พานิช มีการเลี้ยงพระและเลี้ยงโต๊ะจีนแก่บรรดา
มิตรสหายและญาติกับผู้ที่นับถือ เมื่อพานิชอายุได้ย่าง 12 เดือนป่วยเป็นหวัดและตัวร้อนถึงกับชัก
พอ่และแม่เป็นทุกข์ร้อนเมื่อหายป่วยแล้วจึงรู้สึกสบายใจ พานิชหนูเกิดมาได้เห็นแต่ยาย ส่วนปู่,ย่า,ตา
หนูไม่เห็น
     ความสำคัญของสมุดเล่มนี้พ่อประสงค์จะฝากคำเตือนใจไว้สำหรับลูก หากว่าพ่อตายไปแล้ว คำเตือน
นี้จะเป็นเครื่องระลึกสำคัญสำหรับลูกให้ทำดี อนาคตของลูกทั้งสองพ่อเป็นห่วงมาก คำที่พ่อขอฝากไว้
เตือนใจคือ " เกรียติ"  "วินัย" และ "กล้าหาญ"  พ่อเขียนมาถึงตรงนี้พ่อตื้นตัน ถึงแก่น้ำตาไหล สอื้น
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ พ่อออ่นแอขี้ขลาดหรือเปล่า ไม่ใช่เช่นนั้น พ่อสอนลูกให้รู้จักความกล้าหาญ พ่อจะ
อ่อนแอและขี้ขลาดไม่ได้ การที่พ่อน้ำตาไหลมันไหลเพราะความรักและสงสารพานิชกับพาณี  โดยเกรง
ว่าชีวิตพ่อจะอยู่ไม่นานพอที่จะเห็นอนาคตของลูก เพราะสุขภาพพ่อไม่ดี ดังนั้นพ่อจึงเขียนบันทึกไว้
เมื่อลูกได้อ่านครั้งใดก็เหมือนกับลูกได้รับคำสอนของพ่อ
     "เกรียติ" ขอให้ลูกจงรักเกรียติยิ่งชีวิต จงประพฤติแต่ความดี จงงดเว้นการประพฤติชั่วทุกอย่าง
อันเป็นทางทำให้เสื่อมเกรียติ จงข่มใจอย่าทำชั่ว ขอให้นึกถึงพ่อไว้
     "วินัย" คนเราจะทำการใดต้องยึดมั่นในระเบียบวินัย ทำโดยรอบครอบ ไม่หุนหันพลันแล่น ทำโดย
มีสติ ตรึกตรองนึกถึงทางได้ทางเสีย
     "กล้าหาญ" คือกล้าในสิ่งที่ควรกล้า ไม่ใช่กล้าอย่างบ้าบิ่น กล้าในการเผชิญต่อชีวิตไม่ท้อแท้
บากบั่นในการทำมาหากิน ในทางที่ชอบเพื่อสร้างฐานะให้เป็นปึกแผ่น กล้าเสียสละเพื่อชาติและผู้
มีพระคุณ จงรู้จักที่ต่ำที่สูง อย่าเป็นคนหยิ่งจองหอง จงประพฤติตนสุภาพและอ่อนโยนไม่ใช่อ่อนแอ
จงเป็นผู้มีใจเมตตากรุณาและอย่าลืมบุญคุญผู้มีพระคุญ ขอให้มีความกตัญญู
     จงรักความยุติธรรม อย่าเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น จงมีความซื่อสัตย์สุจริต ความซื่อสัตย์สุจริตเป็น
ปัจจัยสำคัญที่ลูกพึงยึดถือและจงบูชาความเป็นธรรมและความจริง ให้มีความสามัคคีและโอบอ้อมอารีแก่ผู้คบหาสมาคม
     น้องพาณีเป็นผู้หญิงขอให้มีความเป็นห่วงและเอาใจใส่ดูแล ให้น้องเดินในทางที่ถูก จงมีความสามัคคีระหว่างพี่น้อง เอื้อเฟื้อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การประกอบอาชีพจะเป็นทางใดก็ได้แล้วแต่
ถนัดแต่ต้องเป็นสัมมาอาชีพและต้องขยันหมั่นเพียรในอาชีพนั้นจริงๆ พ่อตั้งใจอยูว่าถ้ายังไม่สิ้นบุญพ่อ
และพ่อมีหนทางที่จะช่วยได้ พ่อตั้งใจให้ลูกเรียนแพทย์ อาชีพข้าราชการนั้นเมื่อจะทำจะต้องหยั้งดูว่าเรามีความรู้แค่ไหน ถ้ามีความรู้สูงและเห็นว่าจะสร้างชิวิตให้ก้าวหน้าในราชการได้ อย่างน้อยในตำแหน่ง
หัวหน้าแผนกจึงควรเข้าทำราชการ ถ้ามีความรู้น้อยจะทำราชการได้เพียงตำแหน่งเสมียนและอับเฉา
อยู่แค่นั้นอย่าทำเลย หากินในทางอื่นที่อิสระดีกว่า
     อีกอย่างหนึ่งการคบเพื่อนคบฝูงก็สำคัญ คบคนดีย่อมชักนำและพาให้ทำดี คบคนชั่วคนพาลย่อมทำ
ให้เราเสียได้ ดังภาษิตว่า "คบพาลพาลไปหาผิด คบบัญฑิตพาไปหาผล" ฉนั้นการคบคนต้องสังเกตุ
ดูนิสัยและความประพฤติของคนนั้นๆว่าสมควรจะสมาคมเพียงใดหรือไม่ เพื่อนกินสินทรัพย์แหนงหนี
หาง่ายมาก เพื่อนตายหายาก
     การมีคู่ครองก็เป็นเรื่องสำคัญมาก ต้องสังเกตุนิสัยใจคอ อย่าให้ความรักเข้าครอบงำ จนมองเห็นดี
ไปหมด สังเกตุถึงน้ำใจว่าเป็นคนโหดร้ายหรือใจบุญ ไม่สุรุยสุร่ายจับจ่ายฟุ่มเฟือย

     นั้นเป็นบันทึกของปู่ที่ท่านได้เขียนไว้เพื่อเป็นเสมื่อนตัวแทนคำสั่งสอนของท่านให้กับพ่อพานิชและ
อาโก เพราะท่านคิดว่าท่านอาจจะอายุสั้น อันเนื่องมาจากการที่ท่านป่วยและเหมื่อนจะรู้ตัวดีว่าถ้ารักษา
ไม่หายท่านจะไม่ได้อยู่ดูอนาคตของลูกๆ ดั้งนั้นในความเป็นพ่อที่รักลูกและเป็นห่วง สิ่งเดียวที่ท่านคิดว่าน่าจะฝากไว้เป็นอนุสรณ์เตือนใจก็คือคำสอนจากประสบการณ์ของท่านในฐานะที่ท่านเคยรับราชการ
เป็นศึกษาธิการอยู่ที่อำเภอพานทองและในฐานะพ่อที่รักลูกๆ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าจากการบันทึกและคำสอนของท่านจะแสดงถึงคนที่มีความคิดความอ่านและความรู้พอสมควร ตลอดจนความละเอียดการ
สอนและข้อคิดต่างๆในทุกๆเรื่องพอสรุปได้ดั้งนี้
     1. เกรียติ
     2. วินัย
     3.กล้าหาญ
     4.ซื่อสัตย์ ยุติธรรม
     5.การกตัญญู
     6.การประกอบอาชีพ
     7.การคบเพื่อน
     8.การเลือกคู่ครอง

และในช่วงท้ายของชีวิตใกล้จะมาถึงหลังจากนั้นอีก 4 ปีซึ่งอาการป่วยเริ่มหนักมากต้องเข้ามารักษาตัวที่
กรุงเทพท่านก็มีจดหมายอีกฉบับถึงย่าสมจีนดังนี้

     6 ซ. ป้อมปู่เจ้าสมิงพราย อ.พระประแดง จ. สมุทรปราการ
  14 กันยายน 2494

  จีนที่รัก
     ฉันออกจากบ้านมาก็หวังว่าจะรักษาตัวที่ศิริราชเพราะเหนว่าอยู่ที่บ้านก็ไม่มีทางใดที่จะช่วยได้
ครั้นมาถึงกรุงเทพแล้วเหตุการณ์ก็กลับหมดหวัง ความหวังทั้งหมดก็ล้มละลายสิ้น ฉันหวังว่าสุวรรณ
คงเล่าให้ฟังแล้ว ชีวิตของฉันทั้งนี้แสนระทมขมขื่น ไม่รู้ว่าบาปกรรมแต่ชาติก่อนทำไว้อย่างใด เวรจึง
ตามสนองในชาตินี้ ฉันเกิดมาก็ตั้งใจทำความดีแก่ทุกๆคนและเคยช่วยเหลือคน แต่ความดีของเราไม่สนองผล ชีวิตบั้นปลายของฉันถูกเพื่อนหักหลังป้ายสี ชีวิตวันนี้ยังมาประสบอีก ความจริงถ้าเหตุการณ์
มันจะเป็นเช่นนี้ ฉันอยู่กับบ้านสบายกว่าออกจากบ้านมา 5 วันแล้วการรักษาก็ไม่ดีพอกว่าที่บ้านเรานัก
นับตั้งแต่ที่ฉันมาอาหารฉันรับไม่ใคร่ได้ กำลังของฉันก็ลดน้อยลงทุกๆที่
     ฉันรู้สึกว่ากำลังจะต้านทานไม่ไหว ตายอยู่กับบ้านฉันยังเห็นหน้าลูกเมียและเพื่อนฝูง ลูกฉันรักเสมอกันทุกๆคนแต่เฉพาะพานิชฉันเป็นห่วงเขาเพราะเกรงว่าเขาจะเป็นโรคอย่างพ่อ เพราะมันเป็นขึ้นแล้วก็จะ
ลำบาก ยาที่ซื้อมาอุสาห์ให้เขากินตามคำอธิบายอย่าทอดทิ้งไว้ ถ้าเป็นมากก็จะรักษาไม่หายเป็นน้อยๆ
รักษาก็จะมีหวังขอให้จีนมีชีวิตเพื่อต่อสู้เลี้ยงลูกๆไป การค้าขายขอให้จีนทำไปตามกำลังเท่าที่จะทำได้
อุส่าห์บากบั้บไปอย่าท้อถอย เพื่ออนาคตของลูกจีนจะต้องรับภาระแต่คนเดียว ข้อที่หนักใจที่สุดคือหนี้
สินที่เราเป็นหนี้เขาอยู่มันจะเป็นภาระหนักสำหรับจีนต่อไป ฉันเป็นห่วงเรื่องหนี้สินนี้มากเพราะเราต้องเสียดอกเบี้ยให้เขา
     ขอให้จีนนึกเสียว่าชีวิตของคนเราไม่หวานก็ขม เป็นไปตามพรหมลิขิตสุดแต่สวรรค์บรรดาล ขอให้
หักห้ามหังใจเอาไว้ โดยสงบและขอให้ระลึกถึงความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนได้ว่า
   1. คนเราเกิดมาแล้วย่อมมีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้
   2. คนเราเกิดมาแล้วย่อมมีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้นความเจ็บไปได้
   3. คนเราเกิดมาแล้วมีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้
   4. คนเราเกิดมาแล้วต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจไปทั้งสิ้น
   5. คนเราเกิดมาแล้วมีกรรมเป็นของตัว ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว
 ความจริงทั้ง 5 ข้อนี้ ขอให้หมั่นพิจราณาไว้จะบรรเทาความทุกข์ทั้งหลายได้
     สมุดบันทึกวัน เดือน ปี เกิดสำหรับลูกๆทุกคน ฉันเก็บไว้ที่ตู้ห้องนอนเล่นข้างครัว สมุดบันทึกปกแข็งเล่มใหญ่เขียนเรื่องอนิจังเพื่อนเราแต่ยังไม่จบ เล่มนี้เก็บไว้ให้ลูกเพื่อเป็นบทเรียนต่อไป
     ในที่สุดนี้ขอให้จีนและลูกทุกๆคนจงประสบแต่ความสุขความเจริญ

                                                                                        โดยความเจริญ
                                                                                   เจริญ           สุภวัตร

ป.ล.  ฉันได้รับความเอื้อเฟื้อจากสุวรรณทุกๆอย่างและช่วยเหลือฉันทุกๆอย่างเป็นอย่างดี จะหาคนดีอย่างอย่างสุวรรณคงไม่ง่ายนัก จงสอนลูกให้รู้จักบุญคุณของเขาไว้

จากหลานถึงปู่

     นั้นเป็นจดหมายฉบับสุดท้ายของปู่ที่เขียนสั่งเสียและสั่งสอนของปู่เจริญให้กับย่าจีน ที่แสดงถึงความเป็นห่วงย่าจีนและลูกๆ พร้อมทั้งเขียนข้อความธรรมะของพระพุทธเจ้าให้เห็นถึงสัจจะธรรมของชีวิตมนุษย์ที่ไม่อาจฝืนในวัฏฏสงสารนี้ไปได้เพื่อเป็นการปลอบใจย่าให้เข้าใจถึงสัจจะธรรมข้อนี้และให้กำลังใจสู้เพื่อลูกๆ และยังแอบตัดพ้อบ้างต่อโชคชะตา ที่ตลอดชีวิตทำตัวเป็นคนดีช่วยเหลือคนมาตลอดแต่ก็ยังไม่วายโดยเพื่อนหักหลังเพราะความที่เป็นคนดี
     จากการอ่านบันทึกและจดหมายที่ปู่เจริญได้เขียนถึงย่าส้มจีนกับพอ่พานิช อาโกพาณี และอาเจ็ก
ผู้เขียนก็พอจะทราบได้ว่าปู่เจริญท่านเป็นคนที่มีความรู้ ความคิดดีเพราะว่าท่านทำงานในแผนกศึกษา
ซึ่งเกี่ยวกับครู ดังนั้นท่านจึงชอบสั่งสอน ท่านเป็นคนดีมีความกตัญญูและมีความซื่อสัตย์รักความยุติธรรม โอบอ้อมอารีและรักครอบครัวเป็นอย่างมาก
     วันนี้ถ้าปู่ยังอยู่ก็อายุ 102 ปี(จากไปปี2494อายุ 42 ปีและปัจจุบัน25540จากไป 60 ปี)ผู้เขียนในตอนนี้
อายุ 42 ปี ชั่งบังเอิญเหลือเกินที่ปู่กับหลานเกิดปีระกาปีเดียวกัน ปู่ก็เป็นคนชอบเรียนรู้ ชอบสั่งสอนมีข้อ
คิดต่างๆเข้าใจหลักธรรม ซึ่งก็ไม่ต่างกับหลานที่ชอบเรียนรู้ ชอบสอน ชอบคิดชอบพูดและเชื่อว่าถ้าปู่ยังมีอายุอยู่ทันเห็นหลาน หลานก็จะได้นิสัย ความรู้ ความคิดอันมากมายจากปู่ หลานเขียนถึงตรงนี้ก็รู้สึก
ตื้นตันใจเป็นอย่างมากและก็รู้สึกดีใจ ภูมิใจ ที่มีปู่เป็นคนที่ดี เป็นคนเก่ง น่าเคารพยกย่อง แม้หลานจะไม่เคยเห็นปู่แต่หลานมีความเชื่อว่า ปู่ของหลานต้องเป็นคนที่มีเกียรติ มีวินัยมีความกล้าหาญ มีความซื่อสัตย์ยุติธรรมและมีความกตัญญูอย่างแน่นอน
    จากปู่เจริญสู่พ่อพานิชจนมาถึงหลานๆ จากรุ่น1 สู่ รุ่น 2 จนมาสู่รุ่นหลานเป็นรุ่นที่ 3 ไปสู่รุ่นที่4 รุ่นที่ 5
และรุนต่อๆไป พวกเราจะภาคภูมิใจว่าต้นตระกูล สุภวัตร ของเราท่านเป็นคนดี สมกับความหมายของนามสกุลที่แปลว่า ผู้ที่มีกิจวัตรอันดีงาม ดังนั้นเราจงรักษาชื่อเสียงและนามสกุลเอาไว้สืบต่อให้รุ่นลูกหลาน เหลน ของเราต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น