วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ปัญญามาก ปัญหาน้อย ปัญญาน้อย ปัญหามาก

.
"ผู้มีปัญญามาก ย่อมเห็นความจริงในชีวิตมาก  ผู้มีปัญญาน้อย ย่อมเห็นความจริงในชีวิตน้อย"
"ผู้มีปัญญามีความสุขมากกว่าผู้มีเงิน"
"คนมีปัญญารู้สึกทำใจให้เป็นสุข แม้ไม่ใช่เรื่องที่ไม่น่าสุข  คนโง่ ทำใจให้เป็นทุกข์ได้ แม้ใน
เรื่องที่ไม่น่าทุกข์"


ขอยกเอาพุทธศาสนสุภาษิตเอามาเป็นหัวข้อและคำคมให้ฉุกคิดเพราะมนุษย์เราเกิดแก่ เจ็บ
ตาย ทุกคนหนีไม่พ้นทุกข์ ตลอดช่วงชีวิตทุกช่วงวัย คนทุกคนต้องเจอกับปัญหาแตกต่างกันไป
ดังนั้นคนบางคนก็ต้องพึ่งหมอดูอยากรู้อนาคต หรือบางคนต้องพึ่งหมอผี ไสยศาสตร์ เพื่อบรรเทา
ความทุกข์ในใจ ดังจะได้เห็นว่าหมอดูออนไลน์ 1900 เกิดขึ้นมากมาย สาเหตุมาจากในยุคที่เจริญทาง
เทคโนโลยี เจริญทางวัตถุ ยุคไอโฟน 3G แต่คนกับป่วยทางจิตมากขึ้น ขี้เหงา น้อยเนื้อตำ่ใจ
ชอบเปรียบเทียบ ทำไมฉันไม่เกิดมารวย สวยเด่นเหมือนคนอื่น ทำไมเราไม่มีโชค ก็เลยเกิดทุกข์


ถ้าไม่พูดถึงเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ประเทศไทยกำลังประสบอยู่ตอนนี้คงไม่ได้เลย เพราะทำให้เราได้เรียนรู้อะไรมากมายและสามารถเป็นข้อคิด บทเรียน ในอนาคตได้ ไม่ว่าจะเป็นการที่เราต้องตั้งสติ
เตรียมตัวเก็บข้าวของ จัดลำดับความสำคัญที่ต้องทำอะไรก่อนหลัง การที่เราเห็นความมีน้ำใจของคนไทยในยามทุกข์ แต่ในวิกฤตนี้เรากลับเห็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าเกิด ไม่ว่าจะเป็นการเห็นแก่ตัวของคนที่
ซ้ำเติมผู้ประสบภัยโดยเข้าไปขโมยข้าวของ การแย่งถุงยังชีพ การทะเลาะกันเรื่องคันกั้นน้ำที่ค่อนค่าง
รุนแรงขาดสติและไร้เหตุผล ไม่มองผลประโยชน์ส่วนรวม เป็นต้น ก็ยิ่งทำให้เรายิ่งทุกข์มากขึ้นไปอีก


"เราจะรับมือกับความทุกข์ได้อย่างไร เราจะอยู่กับความทุกข์อย่างชาญฉลาดได้อย่างไร เราจะอยู่ท่ามกลางความทุกข์ในขณะเจ็บป่วยได้อย่างไร น้ำท่วมเราจะอยูอย่างไร แผ่นดินไหวเราจะอยูอย่างไร
โดยที่ไม่โดนความทุกข์กระทืบซ้ำ เพราะล้มแล้วยังโดนซ้ำก็แย่แล้ว " พระพยอมกล่าว

คนบางคนความทุกข์ไม่ได้มากมาย แต่ตีโพยตีพายเสียเกินเหตุ แต่บางคนเจอทุกข์วิกฤตสุดๆ กลับ
อยู่ได้อย่างฉลาด ก็คงต้องยกตัวอย่างประเทศญี่ปุ่นที่เขาเจอทั้งแผ่นดินไหวและยังเจอนิวเคลียร์รั่วอีก
แต่คนของเขามีสติดีมาก สงบเสงี่ยมต่อแถวเข้าคิวรอรับของ และหยิบไปโดยจะเหลือให้คนที่ยังไม่ได้
ไม่มีแก่งแย่งโวยวาย เขากลับเห็นใจซึ่งกันและกันทั้งๆที่เขาก็นับถือพุทธศาสนาเหมือนเราแต่คนละนิกาย


ทุกข์มาปัญญาเกิด เมื่อทุกข์มาต้องให้ธรรมะเกิด ปัญหามาต้องรีบให้ปัญญาเกิด ปัญยาจะเกิดเพราะเรา
ทำสมาธิ เกิดสติ เมื่อมีสติ ปัญญาก็จะตามมา ว่าถ้าน้ำจะมาเราต้องทำอะไร เช่นพยามฟังข้อมูลข่าวสาร
และวิเคราะความเป็นไปได้ว่า น้ำจะมาถึงบ้านเราไหม บ้านเราอยู่ในทำเลเสียงใกล้แม่น้ำหรือเปล่า
ถ้าน้ำจะท่วมจะท่วมวันไหนเราจะมีเวลาเตรียมตัว น้ำจะท่วมถึงระดับไหนเราจะได้ยกของขึ้นเหนือน้ำถูก
และจะท่วมนานแค่ไหน ถ้าน้ำท่วมมากอาจโดนตัดน้ำไฟเราก็อยู่ไม่ได้ เราควรอพยพไปที่ไหนเป็นการชั่วคราว เพื่อเอาชีวิตรอดก่อน ส่วนทรัพย์สินถ้าเก็บดีแล้วก็ต้องทำใจ ไม่ต้องห่วงมาก

ต้องคิดบวกเปลียนวิกฤตเป็นโอกาศ เปลียนทุกข์เป็นไอเดีย ให้คิดว่าดีเราจะได้ไปพักผ่อนต่างจังหวัด
เพื่อชาร์จแบต ได้กลับไปเยียมญาติที่ไม่เคยไปจะได้ไปพักกับเขา หรือดีถ้าน้ำท่วมเราจะได้เปลียนเฟอร์นิเจอร์ใหม่ เป็นต้น ถ้าเราฉลาดอยู่ในความทุกข์มันจะสวิงความทุกข์เป็นสุขให้ฉลาด เราก็ไม่
เครียดยังยิ้มได้ ต้องขอยกตัวอย่าง ระหว่างที่เขียนต้นฉบับอยู่นี้เปิดทีวีดูข่าวที่สัมภาษณ์ผู้ชายคนหนึ่ง
เป็นผู้ประสบภัยแบบถาวรก็คือเขาเป็นคนทุพลลภาพ ต้องนอนและนั่งรถเข็น แต่เขาไม่ต้องอพยพออก
จากบ้านที่น้ำท่วมหมู่บ้านเมตรครึ่งแต่ไม่ได้เข้าบ้านเขาเลย เพราะเขาเรียนรู้และคำนวณวางแผนว่าน้ำ
จะเข้าบ้านสูงเท่าไรต้องทำกำแพงรับแรงน้ำเท่าไรและต้องใช้ปั้มคอยสูบน้ำออกเท่าไรภายในบ้านแห้ง
เขาบอกว่าเขาใช้ชีวิตในบ้านแบบปกติและมีความสุขมากขึ้นเพราะสมาชิกภายในบ้านกับสิบกว่าคนมา
อยู่พร้อมหน้ามานั่งคุยวางแผนกัน อย่างมีความสุข

ทำอย่างไรใจของเราจึงทุกข์น้อยลง จนกระทั้งไม่ทุกข์เลย เราจะอยูที่ไหนก็สุขทุกที่ เราคนไทยโชคดี
ที่ได้เกิดมาแล้วมีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ เพราะพระพุทธศาสนาแตกต่างจากศาสนาอื่นตรงที่สอนว่าทำอย่างไรถึงจะดับทุกข์ในใจได้ ถ้าใครสามารถเข้าใจอารมณ์ ก็จะสามารถเข้าใจว่า
ความคิดทำงานอย่างไร ใจมันรู้อย่างไร มันดับได้ วางได้ สั้นยาวได้ คนน่าจะมีความสุขได้ทุกขณะ
นั้นคือศิลปของการใช้ชีวิตที่สูงสุด ศิลปทางโลกเราต้องค้นคว้าตลอด เรียนไปเรื่อยๆต่อเนื่องเชื่อม
โยงไปเรื่อยๆแต่เมื่อมาศึกษาพระพุทธศาสตร์เป็น ก็จบไม่ต้องไปศึกษาอะไรอีกแล้ว

ส่วนหนึ่งของปัญญาคือ คิดว่าความสุขอยูที่ไหน มันอยู่ที่ตัวของเราเอง อยูที่จิตของเราเอง ถ้าคิดได้แบบนี้แล้วมาเริ่มแก้ที่จิต ฝึกพัฒนาจิตนั้นเป็นแนวทางของผู้มีปัญญามากอย่างแท้จริง คุณไม่ต้องไปเรียนรู้
อะไรอีกเลย ถ้าใจของคุญพอ คุณก็จะมีความสุขทุกๆที่ทีไป ทุกๆอย่างที่เป็น ปัญหาต่างๆก็น้อยลง
จากทุกทุกทุกข์ ก็เป็นทุกบางทุกข์ และสุดท้ายก็จะไม่ทุกสักทุกข์

ขอให้พี่น้องคนไทยทุกคนให้มีปัญญา มีกำลังใจ ให้ผ่านปัญหาไปได้เร็วและกลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ต้อนรับปีใหม่ที่กำลังจะมาในเร็วๆนี้ และฉบับหน้าต้นปีผมจะมาบอกว่าจะทำบุญอย่างไรให้ได้บุญและ
จะเป็นคนรวยบุญอย่างไร แล้วพบกันฉบับหน้าครับ

วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

ขาดสติชั่ววูบเพราะสมาธิเสื่อม

     คนเราทุกวันนี้รีบร้อน ใจร้อน กระวนกระวายและขี้หงุดหงิด อดทนรออะไรนานๆไม่ค่อยได้ ยกตัวอย่างง่ายๆที่เห็นคือเรื่องการขับรถ ในช่วงหลายวันก่อนผมขับรถไปแถวสุขุมวิท รถไม่ติดมาก แต่อาจติดบางช่วงอาจเนื่องมาจากคันหน้าขับช้าหรือไม่ก็ติดคนเปิดไฟเลี้ยวทำให้รถชลอตัว คันหลังก็ต้องหยุด และเมื่อรถไปได้ก็ต้องขับไปเรื่อยๆ แต่มีรถตู้คันหนึ่งรีบขับมาอย่างเร็วและขับแซงรถโต้โยต้าสีแดงไป ส่วนรถสีแดงเมื่อถูกแซงก็เร่งเครื่องขับตามรถตู้ไปติดๆ แล้วพยายามหาจังหวะแซงแต่ยังไม่มีโอกาศก็ขับแบบร้อนรนตามหลังรถตู้ไปเรื่อยๆเพื่อหาจังหวะ จนได้จังหวะที่แซงได้ก็ขับปาดหน้าและแซงคืนได้สมใจ

     ผมขับตามหลังอยู่เฝ้าดูเหตุการณ์ ได้นั่งขำอยู่ในใจ ไม่ได้ขำรถสีแดงคันนั้นแต่ขำตัวเองเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่พฤติกรรมของผมเป็นแบบรถสีแดงคันนั้นและผมก็เห็นคนขำผมในตอนนั้น ซึ้งในอารมณ์ตอนนั้นผม รีบร้อน หงิดหงุด กระวนกระวาย จดจ่อกับการเอาคืน ในใจโกธรแค้นรถคันหน้าว่าทำไมต้องมาเสียมารยาทปาดหน้าเราด้วย ตอนนั้นเราขาดสติไปแล้ว ความคิดปรุงแต่งต่างๆนาๆ

      เมื่อก่อนผมมักจะเป็นคนหงิดหงุดง่าย เร่งรีบ ทำอะไรก็ต้องเร็วๆจนดูเหมือนเป็นคนรีบร้อนตลอด และผมก็เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ทุกวันนี้ก็เป็นคนที่รีบร้อน เร่งรีบกันเสียส่วนใหญ่ สาเหตุนะหรือก็เพราะ ต้องรีบไปเพราะมีนัดเดี๋ยวไม่ทัน โอ้ยเวลามีน้อยต้องรีบๆกินเดี๋ยวเข้างานไม่ทัน เร็วๆเดี๋ยวร้านปิด ต่างๆนาๆ เนื่องจากว่าคนทุกวันนี้มีกิจกรรมมากมายหลายอย่างมากในแต่ละวันแต่ในขณะเดียวกันเวลาเรามี 24 ชั่วโมงเท่ากัน ดังนั้นเลยทำให้กลายเป็นคนเครียดง่าย ขี้หงิดหงิดและสุดท้ายกลายเป้นคนที่โกธรง่ายมาก
และรุนแรงสำหรับบางคน อย่างที่เราจะเห็นได้จากข่าวเกี่ยวกับการขับรถ ไม่ว่าจะเป็นข่าวที่กัปตันการบินไทยโดนไล่ยิง เนื่องมาจากการเปิดไฟสูงส่องใส่กัน หรือหนุ่มใหญ่ใจร้อนยิงดับคนขับสิบล้อตาย
คาพ่วงมาลัย สาเหตุขับรถเฉียวแล้วหนี เป็นต้น ซึ่งมาจากสาเหตุเล็กๆน้อยๆแต่กลายเป็นเรื่องใหญ่ถึงกับ
ต้องเอาชีวิตกันเลย

     แต่วันนี้ผมใช้ธรรมะขัดเกลากิเลสของตัวเอง ในเรื่องความโลภ ความโกธร และความหลง ให้เบาลง
เ้จ้าสามตัวนี้คือผู้ร้ายตัวจริงที่ซ้อนอยู่ในตัวเราทุกคน นับวันๆ มันจะเพิ่มพูลเพิ่มขึ้นตามวัยของเราซะด้วย
ตอนเด็กๆเราเเทบจะไม่ค่อยมีเจ้าพวกนี้เลย ต่อเมื่อเราเติบโตเรียนรู้ รับรู้เรื่องราวจากสิ่งรอบตัวมากขึ้น
มันก็โตตามเราไปเรื่อย ไม่ว่าการร้องไห้อยากได้โน้นได้นี่ ความรู้สึกที่เราไม่พอใจใครบางคน หรือการที่เราอยากได้ของเล่นเล็กๆน้อยๆเหล่านี้เริ่มก่อตัวและตกตะกอนภายในจิตใจของเรามากขึ้นๆทุกวัน ทุกเดือน ปีแล้วปีเล่าจนล่วงมา 20 30 40 หรือ 50 ปี จนมันก็แสดงฤทธิ์แสดงแดดออกมาจะมากจะน้อย รุนแรงแค่ไหนก็ขึ้นกับใครรับและสะสมไอ้ผู้ร้ายพวกนี้เอาไว้ในตัวมากน้อยแตกต่างกัน ดังนั้นถ้าเราไม่เอา
มันออกไปจากตัวเราวันหนึ่งมันจะควบคุมเรา และเราจะหาความสุขได้ยากในชีวิตนี้

     การที่เราจะควบคุมกิเลส 3 ตัวนี้ได้เราก็ต้องใช้สติให้รู้เท่าทัน ความคิด และอารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นมากมายในแต่และวันตั้งแต่เช้าจนกระทั่งเข้านอน วิธีการรักษาสติให้อยู่กบตัวตลอดเวลาคือการฝึกทำ
สมาธิเพื่อการสะสมพลังจิต เมื่อมีพลังจิตสูงขึ้น ก็จะไปประคองสติ และสติจะไปควบคุมอารมณ์ให้มีการยับยั้งช่างใจได้มากขึ้น เวลาเราฟุ้งซ่าน หงุดหงิด ความคิดต่างๆกำลังถูกปรุงแต่งอารมณ์ร้ายๆกำลังจะเกิดขึ้น ถ้าเรามีสติ เจริญสมาธิบริกรรม "พุทโธ ๆ " ในใจ ก็จะทำให้เราตัดความคิดปรุงแต่ง ตัดความฟุ้งซ่าน หยุดความกังวล และหยุดอารมณ์ที่กำลังขุ่นมัวให้เบาลงได้ เรื่องเล็กๆก็ไม่เป็นเรื่องใหญ่และเรื่องใหญ่ก็อาจจะเล็กลง

     การทำสมาธิไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก สามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะที่บ้าน ที่ทำงาน หรือระหว่างเดินทาง นั่งรถเมล์คุณก็สามารถทำสมาธิได้ เพียงคุณตั้งจิตนึกถึงคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์
คุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ จงมาดลบันดาลรวมใจของข้าพเจ้า จงรวมลงเป็นสมาธิ พุทโธ ธรรมโฆ สังโฆ ๆ ๆ  พุทโธ ๆ ๆ พร้อมทั้งหลับตา มือขวาวางทับบนมือซ้าย ถ้านั่งอยู่กับพื้นก็ให้นั่งขัดสมาด
เท้าขวาทับเท้าซ้าย แต่ถ้านั่งบนเก้าอี้ก็นั่งปกติ และเริ่มบริกรรม "พุทโธ ๆ ๆ " ในใจไปเรื่อยๆ เมื่อจิตเริ่มคิด
พุทโธ ๆ มันก็จะเริ่มตัดความฟุ้ซ่านในใจ ทำให้จิตเริ่มนิ่ง และค่อยๆสงบ แต่ถ้าจิตยังไม่นิ่งยังคิดโ้นนนี่อยู่
ก็ค่อยๆดึงกลับมานึก พุทโธ ๆ ใหม่ไปเรื่อยๆจนกว่าจิตนิ่ง ก็จะรู้สึกสบายเนื่องจากประสาทไม่ต้องเต้นตึบๆ
ความเครียดก็ค่อยจางลง คุณรู้สึกสงบลงไปเรื่อยๆอาจจะสักเพียงแค่ 5 นาที่สำหรับคนที่เวลาน้อยหรือไม่ค่อยมีเวลาแต่ ควรทำในตอนเช้าที่บ้านก่อนออกจากบ้านสัก 5 นาที ตอนกลางวันหลังทานข้าวเที่งก่อนเริ่มงานสัก 5 นาทีและก่อนนอนสัก 5 นาทีวันหนึ่งก็ 15 นาที่ทำทุกวัน เดือนหนึ่งตก 550 นาที่ประมาณ
7ชั่วโมงครึ่ง ก็เกินกว่ามาตราฐานขั้นต่ำ 6 ชั่วโมงแล้ว สำหรับพลังจิตที่เราสะสมเอาไว้จากการทำสมาธินี่จะไปคอยควบคุมสติของเราให้รู้เท่าทันอารมณ์ในแต่ละวัน และถ้าเรามีเวลาทำเพิ่มมากขึ้นในแต่ละวันและทำไปเรื่อยๆ พลังจิตของเราก็จะแข็งแกร่งขึ้นก็จะควบคุมอารมณ์โกธร โลภ หลงให้เบาลง

    ซึ่งพระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินทโธ ผู้ที่ก่อตั้งสถาบันพลังจิตตานุภาพ วัดธรรมมงคล ได้เขียนไว้ว่า" หน้าที่ของพุทธบริษัทจะต้องรับผิดชอบร่วมกันที่จะรักษาศิล-สมาธิ-ปัญญา โดยเฉพาะสมาธิถือว่าเป็นจุดสำคัญที่ต้องช่วยกันรักษาเพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคมโลก เพราะว่ามนุษย์ในโลกทุกคนก็ต้องมีความรับผิดชอบร่วมกันที่จะรักษาโลกนี้ไว้เพื่อความสงบสุข แต่ในขณะที่ชาวโลกได้ใช้แต่พลังจิตไปทุกวันๆ ไม่เคยคิดนำพลังจิตเข้ามาเลย จึงทำให้พลังจิตเสื่อมสภาพเร็วกว่าที่ควร เมื่อพลังจิตเสื่อมสภาพหมดก็จะไม่สามารถควบคุมจิตได้จึงเกิดความเครียด เมื่อความเครียดแผ่กระจายมากเท่าไหร่มนุษย์ต่อมนุษย์จะเกิดความขัดแย้งกันมากขึ้น

     สมาธิเ่ท่านั้นที่จะนำพลังจิตกลับคืนเข้าสู่ใจของมนุษย์ทำให้มนุษย์ได้เพิ่มพลังจิตขึ้น โดยวิธีที่ง่ายที่สุด ไฮเทคที่สุด จนสามารถเสริมสร้างพลังจิตให้มากและมากขึ้น ในที่สุดก็จะสามารถควบคุมจิตนั้นได้
ลดความเครียดลงได้เพราะอาศัยสมาธินี้


                                      .หัวเราะเยาะตัวเองเสียบ้าง
                                       สมนำ้หน้าตัวเองเสียบ้าง
                                      พร้อมด้วยเสียงหัวเราะเบาๆของเราเอง
                                      คิดบ้างว่าเราเป็นเพียง
                                       ตัวตลกตัวหนึ่งของโลกเท่านั้น

วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ประโยชน์ของสมาธิกับการถอนฟัน

     สืบเนื่องมาจากการที่ผมต้องการเปลียนแปลงชีวิตใหม่ในวัยสี่สิบปีโดยการไปบวชแม้เพียงระยะเวลาสั้นๆแต่นั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นในการที่จะเข้ามาศึกษาและพัตนาจิตใจตนเองโดยใช้ธรรมะเป็นเครื่องมือ ซึ่ง
หลังจากลาสึกออกมาก็ปฏิบัติต่อเนื่องในเรื่องการทำบุญ ทำทาน รักษาศีล5 ศีล8 ทุกวันพระ สวดมนต์เช้าและเย็น พร้อมทั้งเจริญภาวนาสมาธิทุกวันไม่ขาด
     ตั้งแต่เม.ย 54 เมื่อสึกออกมาพอถีงวันพระต้องไปวัดเพื่อทำบุญเพื่อนก็แนะนำให้ไปวัดแถวบางปูพอไปถึงวัดเกิดมีงานก็เลยย้ายมาวัดแถวบางนาพอดีมีการบวชเณรก็ไม่มีการสวดมนต์มีคนแนะนำบอกทาง
ให้ไปวัดธรรมมงคล สุขุมวิท101/1 พอไปถึงวัดเห็นเจดีย์ใหญ่ทรงพุทธคยาสวยงามมากและเป็นวัดที่อยากมาเมื่อ2-3 ปีก่อนแต่เคยขับมาเองไม่ถามใครเลยมาไม่ถูกและก็ได้แต่ขับรถผ่านเส้นสุขุมวิทที่ไหรก็ได้แต่มองไม่คิดว่าวันนี้จะมาง่ายดายได้ขึ้นไปกราบพระบรมสารีริกธาตุและได้เดินชมรอบวัดจนไปถึงถ้ำวิปัสสนาเพื่อเข้าไปก็แปลกใจและคิดไปถึงว่าเมื่อคืนเหมือนจะฝันว่าใส่ชุดขาวมากับเพื่อนมานั่งพับเพียบ
อยู่ในที่ทึบๆ มืดๆ จนเมื่อเข้ามาในถ้ำก้บอกเพื่อนที่ไปด้วยว่าฝันเห็นเมื่อคืน ดังนั้นก็คิดว่าคงเลือกวัดธรรมมงคลนี้เเหลาะทีจะมาทำบุญทุกวันพระ
     ก็ต้องบอกว่าเหมือนธรรมจัดสรรในที่ทีอยากมาและในเวลาที่เหมาะสม ที่วัดมีหลักสูตรมากมายหลาย
หลักสูตรและยังเป็นโรงเรียนพระปริยัติธรรม ผมสนใจหลักสูตรการทำสมาธิ กอรปกับวัดมีสาขาที่สอนอยู่
หลายแห่งและมีสาขาวัดผ่องพลอย ที่สุขุมวิท105 ลาซาล42 ใกล้กับบ้านผมลาซาล32 ก็ตัดสินใจมาเรียนแต่เนืองจากครูสมาธิรุ่นนี้เขาเปิดปฐมนิเทศไปแล้วตั้งแต่เดือนกุมภาเป็นร่นที่28 แต่ผมเอาปลายๆเม.ย หลักสูตรมีระยะเวลา 6 เดือน ดังนั้นผมก็มานั่งเรียนไปก่อน ตั้งแต่ พ.ค มิ.ย และก.ค ไปก่อนเพื่อรอ
เรียนร่นที่ 29 ที่จะปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่วันที่ 14 ส.ค 54 เพราะฉนั้นผจะได้เรียนหลักสูตรครูสมาธิถึง
9 เดือน เรียนเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ 9.00-17.00 น โดยหลักสูตรนี้เป็นของสถาบันพลังจิตตานุภาพ ของหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร สอนทั้งภาคทฤษฏีและปฏิบัติ มีหนังสือและเทปหลวงพ่อประกอบการบรรยาย
เนื้อหาละเอียดมาก พร้อมทั้งมีการบ้านให้กลับมาปฏิบัติ  และที่สำคัญมีพี่เลี้ยงใจดีคอยดูแล
     เป็นเวลากว่า 4 เดือนแล้วที่ผมได้นั่งสมาธิทุกวันต่อเนื่องทั้งเช้า 15 นาที ตอนเย็น 15 นาที วันพระ
จะไปนั่งที่เจดีย์และในถ้ำที่วัดธรรมมงคล อย่างตำ 1 ชม และมาเรียนเสาร์-อาทิตย์ นั่งสมาธิ 1 ชมและ
เดินจงกลม 1 ชม เดือนหนึ่งมาเรียน นั่งสมาธิและเดินจงกลม 16 ชม นั่งที่บ้าน 15 ชม และที่วัด
วันพระประมาณ 4 ชม รวมเป็น 35 ชมต่อเดือน และ 150 ชมกว่าแล้วณวันนี้ (กย 54)เป็นการสะสมพลังจิตจากการนั่งสมาธิ ซึ่งคนที่จบหลักสูตรนี้เมื่อเรียนครบต้องไม่ต่ำกว่า 200 ชม แต่ถึงกระนั้นการทำสมาธิ
ก็คงต้องทำต่อเนื่องอย่างสมำเสมอทุกๆวัน และต้องหาโอกาศทำเพิ่มขึ้นๆ เพื่อสะสมไปเรื่อยๆตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่ อย่างพระที่เก่งท่านทำวันละ5-6 ชมต่อวัน เดือนหนึ่งไม่ต่ำกว่า 150-160 ชม ปีหนึ่งเกือบ 2000 ชม ท่านปฏิบัติมา 50 พรรษา เป็น 10000 ชม ดังนั้นพลังจิตของท่านจึงเข็งแกร่งมากๆ
     สำหรับผมแล้วก็ถือว่าการทำสมาธิเป็นเพียงเด็กทารกอยู่ ยังน้อยนิดยังต้องสะสมไปอีกแต่แม้ว่าจะเพิ่งเริ่มนั่งไม่นานก็ได้เห็นถึงประโยชน์และความอัศจรรย์หลายอย่าง อย่างเช่นความบังเอิญเล็กๆน้อย
จะเรียกว่าบังเอิญก็บังเอิญ จะเป็นโชคดีหรือฟลุ๊กบ้างหรือจะมองไปในทางว่าธรรมจัดสรรก็แล้วแต่อยากจะคิดไปกับเหตุการณ์ต่างๆ ก็ไม่ได้ไปคิดมากอะไร และที่สำคัญคือเรามีสติมากขึ้นรู้อารมณ์แม้บางที่เรา
โกธรโมโหไปแล้วแต่ก็ยังระลึกรู้และเสียใจว่าไม่น่าไปหงุดหงิดเลย และถ้าเราทำสมาธิมากกว่านี้เราก็
อาจจะยับยั้งได้มากขึ้น แต่เรื่องที่จะเล่านั้นคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์มาจากการทำสมาธิ เมื่อวันที่ 25 มิถุ
นายน 54 ที่ผ่านมาผมได้ไปผ่าฟันคุด ซึ่งหมอบอกว่าดูจากลักษณะฟันซี่ใหญ่ อยู่ลึก ฟันก็ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่จะผ่าออกง่ายนัก และอายุคนที่ผ่าก็แยอะแล้ว ดังนั้นอาจจะบวมมากและปวด อักเสบ เปลียนใจได้ แต่ถ้าไม่ก็ช่วยเซ็นต์รับทราบ หมอพูดแบบนี้เราก็กลัวเหมือนกัน ใจคิดไปถึงข่าวที่คนที่ไปถอนฟัน
แล้วเป็นไข้เพราะเชื้อขึ้นสมองอะไรทำนองนี้ แต่ก็มาแล้วนี่หมอก็ฉีดยาชาแล้วด้วยจะปฏิเสธยังไงละ
     ตลอดการผ่าฟันกว่า 2 ชม หมอก็พูดตลอด ผ่าแล้วนะ เจ็บบอกหยุดได้นะ ฟันซีใหญ่มาก อยู่ลึกผ่าลำบาก แถมพี่อายุแยอะ ต้องผ่าแผลกว้างๆหน่อย เอะ พี่ไม่เจ็บเลยหรือ พี่แข็งแรงจัง ไม่เจ็บเลยหรือ
พักก่อนไหม หมอว่าพักก่อนเถอะ ช่วยกลิ่นเลือดที่ไหลออกมา ออกมาแยอะมาก เดี๋ยวไป x-ray อีกที่
กลับมานอนให้หมอทึ้งต่อกับผู้ช่วยอีก 2 คน รวม 6 มือ กับ หนึ่งปากที่ช่วยฮ้ากว้างๆหน่อย เพราะต้อง
ยัดทั้งเครื่องเจียฟัน สายดูดน้ำลายและสายพ่นน้ำเกลือ สาระพัดสาระเพที่ต้องนอนอ้าปากอยู่ตรงนั้น
ถามว่าเจ็บไหม ในสภาพแบบนั้นซึ่งหมอเองก็คิดว่าคนไข้น่าจะเจ็บก็เลยถามตลอด แต่ผมก็ได้แต่สั้นหน้าและก็อยากให้หมอทำให้เสร็จๆโดยที่ไม่ต้องพัก ซึ่งผมก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บมากอะไร ก็ทนได้ อาจจะเป็นเพราะยาชาที่หมอฉีดให้ด้วยหรือเปล่า หรือเป็นเพราะก่อนที่หมอจะทำการผ่า ผมก็เริ่มคิดถึง พระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ ครูบาอาจารย์ ว่าให้ช่วยผมที่ผมจะทำสมาธิ พาจิตผมไปเทียว ปลายร่างนี้ให้หมอ
จัดการไป ถอดจิตแยกกาย เริ่มบริกรรม พุทโธ ๆ ไปเรื่อยไม่หยุดตลอด นี้เป็นสาเหตุหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ
     จนได้มาเจอบทความหนึ่งเขียนว่า " สมาธิกับการวางยาสลบ" เป็นงานวิจัยของหมอซาราห์ แมคลีน
จากสถาบันวิจัยทางการแพทย์จอนห์นส์ ฮอปกิ้นส์ ซึ่งพบว่าการนั่งสมาธสามารถเปลียนแปลงปฏิกิริยาสองอย่างหลักๆ ในการรับรู้ของเรา อย่างแรกคือเปลียนระดับของความเจ็บปวดให้เบาบางลงและอย่างที่
สองคือ เตรียมจิตใจของเราให้พร้อมรับความเจ็บปวดมากขึ้น ตัวอย่างเช่น เวลาถูกถอนฟัน ขั้นที่หนึ่งสมาธิจะช่วยให้ความคิดของเราไม่ไปจดจ่อที่ความเจ็บปวดนั้น และขั้นต่อมาสมาธจะทำให้เรารู้จักควบคุมความทุกข์ทรมานทางใจที่เกิดขึ้นจากความเจ็บปวด
     นักวิจัยจากสถาบัน Santa Bara Institute for consciousness studies ถึงกับลงความเห็นว่า " การนั่งสมาธิ
น่าจะเป็นยาขนานดีในการที่จะระงับความเจ็บปวดทุกข์ประเภท โดยเฉพาะความเจ็บปวดสาหัส เพราะ
ความคิดของเราในเวลาที่ไม่ถูกควบคุมมักจะไปขยายความเจ็บปวดให้มากเป็นทวีคูณ ความทุกข์ในใจนั้นเปนตัวการหลักของความทรมาน หาใช่ตัวบาดแผลเองไม่
     ดังนั้นถ้าเราหมั่นฝึกฝนควบคุมความคิดให้ดี เราก็สามารถควบคุมระดับของความเจ็บปวดได้ดี การนั่ง
สมาธิ ไม่จำเป็นต้องนั่งนานๆ แค่ทำเพียงวันละห้าถึงสิบนาที่แต่ทำทุกวันอย่างต่อเนื่อง ก็จะส่งผลต่อชีวิตของเราอย่างใหญ่หลวง นอกจากลดความเจ็บปวดแล้ว ยังลดความเครียด เพิ่มการหลั่งสารความสุข ทำให้หลับสบายตื่นเช้าก็สดชื่น และยังมีสติรับมือกับปัญหาต่างๆได้ตลอดวัน
     การนั่งสมาธิมีประโยชน์มากมายขนาดนี้แล้วทำไมคนไทยถึงไม่คิดที่จะอยากทำ ปล่อยให้ฝรั่งเขาทำเขาศึกษาเดินทางข้ามทวีปมาเรียนกับพระดังๆของไทย ฉนั้นเรามาเริ่มทำสมาธิกันเถอะครับแล้วท่านจะเห็นการเปลียนแปลงในชีวิตอย่างไม่น่าเชื่อ



สนใจเรียนสมาธิกับสถาบันพลังจิตตานุภาพ สาขา 10  วัดผ่องพลอยวิริยาราม   ซอยลาซาล46 สุขุมวิท105  กำลังเปิดรับสมัครนักศึกษา รุ่นที่ 29
081-5588017 (พี่สุวิทย์) 081-4438205 (พี่วิไล)
    

วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

วันเข้าพรรษา 2554 ประวัติวันเข้าพรรษา วันเข้าพรรษามีความสำคัญอย่างไร


                        วันเข้าพรรษา 2554 ประวัติวันเข้าพรรษา วันเข้าพรรษามีความสำคัญอย่างไร
16 กรกฏาคม 2554 นี้เชิญชวนทุกท่านปฏิบัติตนเป็นคนใหม่ ทำบุญ ถือศีล และเจริญภาวนา

เข้าถึงพระนิพพาน

คนที่ปฏิบัติเพื่อพระนิพพานจะใคร่ครวญอย่างไรจึงจะง่ายที่สุด สั้นที่สุดพระพุทธเจ้าข้า ?
"เจ้าจงใคร่ครวญอย่างนี้ จงคิดว่าเราเป็นผู้ไม่มีอะไรเลย ทรัพย์สินก็ไม่มี ญาติ เพื่อน ลูกหลาน เหลนก็ไม่มี เพราะทุกอย่างที่กล่าวมามีสภาพพังหมด เราจะทำกิจที่ต้องทำตามหน้าที่ เมื่อสิ้นภาระ คือ ร่างกายพังแล้ว เราจะไปนิพพาน เมื่อความป่วยไข้ปรากฎ จงดีใจว่าภาวะที่เราจะมีโอกาสเข้าสู่พระนิพพานมาถึงแล้ว เราสิ้นทุกข์แล้ว ร่างกายเป็นเพียงเศษธุลีที่เหม็นเน่า มีความสกปรกโสโครก ทรุดโทรม เดินไปหาความเสื่อม
แตกสลายทุกขณะ คิดไว้อย่างนี้ทุกวัน จิตจะชิน จะเห็นเหตุผล เมื่อตาย อารมณ์จะสบาย แล้วจะเข้าสู่พระนิพพานได้ทันทีพระพุทธองค์ทรงสอนต่อไปว่า ให้ลูกหลานของเธอทุกคน หรือ บริษัทของเธอทุกคน เขาตั้งใจอย่างที่ฉันพูดนะ
การไปสวรรค์ก็ดี ไปพรหมโลกก็ดี ไปนิพพานก็ดีเป็นของง่าย ไม่ใช่ของยากแบบที่นักปราชญ์ในโลกเขาพูดกันเวลานี้ เวลานี้นักปราชญ์ทั้งหลายนิยมความยาก สิ่งไหนก็ตามที่มันยาก เขาถือว่าดี เป็นแบบฉบับที่ถูกต้อง แต่ว่าฉันเห็นว่านั่นไม่ถูกต้อง ถ้าตามคติของฉัน ฉันว่าไม่ถูก เพราะสอนคนหรือพูดให้คนเข้าใจง่ายที่สุด และได้ผลมากที่สุด อันนี้ดีกว่า ดีกว่าหาวิธีที่ยากที่สุด แล้วได้ผลน้อยที่สุด อย่างนี้ไม่ดี ไม่ใช่ความประสงค์ของฉัน สัมภเกสี(ชื่อของหลวงพ่อพระราชพรหมยานที่พระพุทธองค์ทรงเรียก) เตือนบริษัทและลูกหลานของเธออย่างนี้นะ ว่าให้ทุกคนรู้ตัวแล้วว่ามีวิมานอยู่บนชั้นกามาวจร เมื่อถึงเวลาเขาทำชั่วอะไรมาก็ช่างเถอะ เวลาก่อนนอนให้นึกถึงความดีที่ทำไว้ ขึ้นชื่อว่าความชั่วทั้งหลายปล่อยมันไปนึกถึงแต่ความดี แล้วเอาใจนี้จับไว้ว่านี่เรามีวิมานแก้ว 7 ประการไว้บนสวรรค์ชั้นกามาวจร จากทำบุญ วิหารทาน สังฆทาน และธรรมทาน เมื่อเวลาที่เราตาย เราจะไปอยู่วิมานนั้น ถ้าเวลาป่วยไข้ไม่สบาย ไม่ต้องเอาอะไร นึกถึงคุณพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะนึกถึงพระพุทธก็ได้ พระสงฆ์ก็ได้ สิ่งก่อสร้างก็ได้ อย่างใดอย่างหนึ่งไว้ในใจ แล้วตั้งใจว่าเราจะไปอยู่วิมานของเราที่มีอยู่แล้ว เพียงเท่านี้นะ ถ้าเขาตาย เขาจะถึงสวรรค์ชั้นกามาวจรทันที

บรรลุโสดาบัน

ท่านสาธุชน พุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับคืนนี้ก็มาเริ่มปฏิบัติเนื่องในโสดาปัตติมรรค หรือว่า ปฏิบัติเพื่อพระโสดาบันปัตติมรรค การเจริญพระกรรมฐานนี่ พระพุทธเจ้ามีความต้องการให้ผู้ปฏิบัติทุกท่านเข้าถึงพระอริยมรรค พระอริยผล ถ้าเราจะปฏิบัติกันอย่างเลื่อนลอยก็มีความสุขเหมือนกัน แต่มีความสุขไม่จริง ที่จะปฏิบัติให้มีความสุขจริง ๆ ก็จะต้องมีจุดใดจุดหนึ่งเป็นเครื่องเข้าถึงจึงจะใช้ได้ ในอันดับแรกนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงต้องการผลอันดับต้น คือ ได้พระโสดาบันปัตติมรรคหรือพระโสดาปัตติผล หรือที่เราเรียกกันว่า พระโสดาบัน ก่อนที่ท่านทั้งหลายจะศึกษาอย่างอื่น ก็โปรดทราบว่า สำหรับพระโสดาบันนี้ละสังโยชน์ได้ ๓ ประการ คือ๑. สักกายทิฏฐิ ตัวนี้มีปัญญาเพียงเล็กน้อย เพียงแค่มีความรู้สึกว่าเราจะต้องตายเท่านั้น เป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิต คิดอยู่เสมอว่าความตายเป็นธรรมดาของชีวิต เราไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงความตายให้พ้นได้ และความตายนี้ จะปรากฏขึ้นกับเราเมื่อไรก็ไม่แน่นอนนัก และเชื่อว่า ตายเช้า ตายสาย ตายบ่าย ตายเที่ยง ตายกลางคืน ตายกลางวัน อย่างนี้ก็ไม่มีความแน่นอน
เพราะว่าความตายไม่มีนิมิต ความตายไม่มีเครื่องหมาย แต่ถึงอย่างไรก็ดี เราก็ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงให้พ้นจากความตายไปได้ นี่สำหรับข้อแรก

สักกายทิฏฐิ ที่เห็นว่าร่างกายก็คือ ขันธ์ ๕ ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่เรานิยมเรียกกันว่า ร่างกาย
พระโสดาบันมีความรู้สึกว่ามีปัญญาเพียงเล็กน้อย รู้แค่ตายเท่านั้น ยังไม่สามารถจะจำแนกแยกร่างกายว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราได้ ความรู้สึกของพระโสดาบันยังมีความรู้สึกว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา ทรัพย์สินทั้งหลายยังเป็นเรา เป็นของเรา
แต่ทว่ามีความรู้สึกว่า สิ่งทั้งหลายที่เป็นของเรานี้ทั้งหมด เมื่อเราตายแล้วเราก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้ามาครอบครอง หรือถ้าว่าเรายังไม่ตาย สักวันหนึ่งข้างหน้ามันก็ต้องสลายตัวไป เนื่องในข้อว่า สักกายทิฏฐิ พระโสดาบันคิดได้เพียงเท่านี้ ยังไม่สามารถจะแยกกายทิ้งไปได้ทันทีทันใด องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงกล่าวว่า พระโสดาบันมีปัญญาเพียงเล็กน้อย

ในข้อที่ ๒. วิจิกิจฉา พระโสดาบันไม่สงสัยในคำสั่งและคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
คำว่า คำสั่ง ก็ได้แก่ ศีล
คำสอน ก็ได้แก่ จริยาอันหนึ่งที่เราเรียกกันว่า ธรรมะ เป็นความประพฤติดีประพฤติชอบ
ศีล พระพุทธเจ้าสั่งให้ละ หมายความว่า ละตามสิกขาบทที่กำหนดไว้ให้ คำสอนทรงแนะนำว่า จงทำอย่างนี้จะมีความสุข อีกทั้งคำสั่งก็ดี ทั้งคำสอนก็ดี พระโสดาบันมีความเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย คือ เชื่อพระพุทธเจ้า ในการเชื่อก็ใช้ปัญญาพิจารณาก่อน ไม่ใช่สักแต่ว่าเชื่อ
นี่สำหรับสังโยชน์ข้อที่ ๓. สัลัพพตปรามาส เพราะอาศัยที่พระโสดาบันมีความเคารพในพระพุทธเจ้า มีความเคารพในพระธรรม มีความเคารพในพระสงฆ์ เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแนะนำบรรดาพระสงฆ์ว่า จงนำธรรมะนี้ไปสอน พระสงฆ์ก็ไปสอน พระโสดาบันใช้ปัญญาเล็กน้อยมีความเข้าใจดี ยินยอมรับนับถือคำสั่งและคำสอนขององค์สมเด็จพระชินสีห์ ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสมา แล้วพระสงฆ์นำมาแสดง

อาศัยมีศรัทธาในพระรัตนตรัยทั้ง ๓ ประการนี้ พระโสดาบันจึงเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ เป็นอันว่า พระโสดาบัน ถ้าเราจะไปพิจารณากันจริง ๆ ก็ไม่เห็นมีอะไรสำคัญ มีสภาวะเหมือนชาวบ้านชั้นดีนั่นเอง ทีนี้เราจะกล่าวถึง องค์ของพระโสดาบัน ท่านที่เป็นพระโสดาบันจริง ๆ นั้น มีอารมณ์ใจ คำว่า "องค์" นี่หมายความว่า อารมณ์ที่ฝังอยู่ในใจ อารมณ์ใจของพระโสดาบันจริง ๆ ก็คือ
๑. มีความเคารพในพระพุทธเจ้า
๒. มีความเคารพในพระธรรม
๓. มีความเคารพในพระสงฆ์
๔. มีศีล ๕ บริสุทธิ์
อันนี้ก็ตรงกับพระบาลี ที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ตรัสว่า พระโสดาบันกับพระสกิทาคามี เป็นผู้มีอธิศีล
สำหรับกิเลสส่วนอื่นจะเห็นได้ว่า พระโสดาบันยังมีกิเลสทุกอย่าง ตามที่เรากล่าวกันคือ : -
โลภะ ความโลภ
ราคะ ความรัก
โทสะ ความโกรธ
โมหะ ความหลง
จะว่ารักก็รัก อยากรวยก็อยากรวย โกรธก็โกรธ หลงก็หลง แต่ไม่ลืมความตาย คำที่ว่าหลงก็เพราะว่า พระโสดาบันยังต้องการความร่ำรวยด้วยสัมมาอาชีวะ พระโสดาบันยังต้องการความสวยสดงดงาม ต้องการมีคู่ครอง
อย่าง นางวิสาขามหาอุบาสิกาก็ดี ภรรยาของพระกุกกุฏมิตรก็ดี ทั้งสองท่านนี้เป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ ๗ ปี แต่ในที่สุด ท่านก็แต่งงานมีเครื่องประดับประดาสวยงาม เป็นอันว่ากิเลสที่เราต้องการกัน เนื่องจากการครองคู่ระหว่างเพศ พระโสดาบันยังมี และก็ยังมีครบถ้วน เพราะว่าอยู่ในขอบเขตของศีล
ไม่ทำกาเมสุมิจฉาจาร ไม่ละเมิดความรักของบุคคลอื่น
ไม่ทำให้ผิดประเพณีหรือกฎหมายของบ้านเมือง และเป็นไปตามศีลทุกอย่าง คือ รักอยู่ในคู่ผัวตัวเมียตามปกติ
นี่ขอบเขตของพระโสดาบันมีเท่านี้ มีความต้องการรวยด้วยสัมมาอาชีวะ พระโสดาบันยังประกอบอาชีพ แต่ไม่คดไม่โกง ไม่ยื้อไม่แย่งใครเท่านั้น หามาได้แม้จะร่ำรวยแสนจะร่ำรวยก็ได้มาด้วยคามบริสุทธิ์ ไม่คดไม่โกงเขา พระโสดาบันยังมีความโกรธ ไอ้โกรธน่ะโกรธได้ แต่ว่าพระโสดาบันยังไม่ฆ่าใคร เกรงว่าศีลจะขาด
พระโสดาบันยังมีความหลง แต่หลงไม่เลยความตาย ยังมีความรู้สึกอยู่ว่าต้องการชีวิต ชีวิตของเรามีอยู่ ต้องการทำประโยชน์ให้เกิดขึ้น ยังไง ๆ เราก็ตายแน่ การที่จะหลีกเลี่ยงให้พ้นจากความตายไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้
เป็นอันว่าถ้าเราพิจารณากันจริง ๆ ความเป็นพระโสดาบันนี่รู้สึกว่าไม่ยาก