วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

ขาดสติชั่ววูบเพราะสมาธิเสื่อม

     คนเราทุกวันนี้รีบร้อน ใจร้อน กระวนกระวายและขี้หงุดหงิด อดทนรออะไรนานๆไม่ค่อยได้ ยกตัวอย่างง่ายๆที่เห็นคือเรื่องการขับรถ ในช่วงหลายวันก่อนผมขับรถไปแถวสุขุมวิท รถไม่ติดมาก แต่อาจติดบางช่วงอาจเนื่องมาจากคันหน้าขับช้าหรือไม่ก็ติดคนเปิดไฟเลี้ยวทำให้รถชลอตัว คันหลังก็ต้องหยุด และเมื่อรถไปได้ก็ต้องขับไปเรื่อยๆ แต่มีรถตู้คันหนึ่งรีบขับมาอย่างเร็วและขับแซงรถโต้โยต้าสีแดงไป ส่วนรถสีแดงเมื่อถูกแซงก็เร่งเครื่องขับตามรถตู้ไปติดๆ แล้วพยายามหาจังหวะแซงแต่ยังไม่มีโอกาศก็ขับแบบร้อนรนตามหลังรถตู้ไปเรื่อยๆเพื่อหาจังหวะ จนได้จังหวะที่แซงได้ก็ขับปาดหน้าและแซงคืนได้สมใจ

     ผมขับตามหลังอยู่เฝ้าดูเหตุการณ์ ได้นั่งขำอยู่ในใจ ไม่ได้ขำรถสีแดงคันนั้นแต่ขำตัวเองเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่พฤติกรรมของผมเป็นแบบรถสีแดงคันนั้นและผมก็เห็นคนขำผมในตอนนั้น ซึ้งในอารมณ์ตอนนั้นผม รีบร้อน หงิดหงุด กระวนกระวาย จดจ่อกับการเอาคืน ในใจโกธรแค้นรถคันหน้าว่าทำไมต้องมาเสียมารยาทปาดหน้าเราด้วย ตอนนั้นเราขาดสติไปแล้ว ความคิดปรุงแต่งต่างๆนาๆ

      เมื่อก่อนผมมักจะเป็นคนหงิดหงุดง่าย เร่งรีบ ทำอะไรก็ต้องเร็วๆจนดูเหมือนเป็นคนรีบร้อนตลอด และผมก็เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ทุกวันนี้ก็เป็นคนที่รีบร้อน เร่งรีบกันเสียส่วนใหญ่ สาเหตุนะหรือก็เพราะ ต้องรีบไปเพราะมีนัดเดี๋ยวไม่ทัน โอ้ยเวลามีน้อยต้องรีบๆกินเดี๋ยวเข้างานไม่ทัน เร็วๆเดี๋ยวร้านปิด ต่างๆนาๆ เนื่องจากว่าคนทุกวันนี้มีกิจกรรมมากมายหลายอย่างมากในแต่ละวันแต่ในขณะเดียวกันเวลาเรามี 24 ชั่วโมงเท่ากัน ดังนั้นเลยทำให้กลายเป็นคนเครียดง่าย ขี้หงิดหงิดและสุดท้ายกลายเป้นคนที่โกธรง่ายมาก
และรุนแรงสำหรับบางคน อย่างที่เราจะเห็นได้จากข่าวเกี่ยวกับการขับรถ ไม่ว่าจะเป็นข่าวที่กัปตันการบินไทยโดนไล่ยิง เนื่องมาจากการเปิดไฟสูงส่องใส่กัน หรือหนุ่มใหญ่ใจร้อนยิงดับคนขับสิบล้อตาย
คาพ่วงมาลัย สาเหตุขับรถเฉียวแล้วหนี เป็นต้น ซึ่งมาจากสาเหตุเล็กๆน้อยๆแต่กลายเป็นเรื่องใหญ่ถึงกับ
ต้องเอาชีวิตกันเลย

     แต่วันนี้ผมใช้ธรรมะขัดเกลากิเลสของตัวเอง ในเรื่องความโลภ ความโกธร และความหลง ให้เบาลง
เ้จ้าสามตัวนี้คือผู้ร้ายตัวจริงที่ซ้อนอยู่ในตัวเราทุกคน นับวันๆ มันจะเพิ่มพูลเพิ่มขึ้นตามวัยของเราซะด้วย
ตอนเด็กๆเราเเทบจะไม่ค่อยมีเจ้าพวกนี้เลย ต่อเมื่อเราเติบโตเรียนรู้ รับรู้เรื่องราวจากสิ่งรอบตัวมากขึ้น
มันก็โตตามเราไปเรื่อย ไม่ว่าการร้องไห้อยากได้โน้นได้นี่ ความรู้สึกที่เราไม่พอใจใครบางคน หรือการที่เราอยากได้ของเล่นเล็กๆน้อยๆเหล่านี้เริ่มก่อตัวและตกตะกอนภายในจิตใจของเรามากขึ้นๆทุกวัน ทุกเดือน ปีแล้วปีเล่าจนล่วงมา 20 30 40 หรือ 50 ปี จนมันก็แสดงฤทธิ์แสดงแดดออกมาจะมากจะน้อย รุนแรงแค่ไหนก็ขึ้นกับใครรับและสะสมไอ้ผู้ร้ายพวกนี้เอาไว้ในตัวมากน้อยแตกต่างกัน ดังนั้นถ้าเราไม่เอา
มันออกไปจากตัวเราวันหนึ่งมันจะควบคุมเรา และเราจะหาความสุขได้ยากในชีวิตนี้

     การที่เราจะควบคุมกิเลส 3 ตัวนี้ได้เราก็ต้องใช้สติให้รู้เท่าทัน ความคิด และอารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นมากมายในแต่และวันตั้งแต่เช้าจนกระทั่งเข้านอน วิธีการรักษาสติให้อยู่กบตัวตลอดเวลาคือการฝึกทำ
สมาธิเพื่อการสะสมพลังจิต เมื่อมีพลังจิตสูงขึ้น ก็จะไปประคองสติ และสติจะไปควบคุมอารมณ์ให้มีการยับยั้งช่างใจได้มากขึ้น เวลาเราฟุ้งซ่าน หงุดหงิด ความคิดต่างๆกำลังถูกปรุงแต่งอารมณ์ร้ายๆกำลังจะเกิดขึ้น ถ้าเรามีสติ เจริญสมาธิบริกรรม "พุทโธ ๆ " ในใจ ก็จะทำให้เราตัดความคิดปรุงแต่ง ตัดความฟุ้งซ่าน หยุดความกังวล และหยุดอารมณ์ที่กำลังขุ่นมัวให้เบาลงได้ เรื่องเล็กๆก็ไม่เป็นเรื่องใหญ่และเรื่องใหญ่ก็อาจจะเล็กลง

     การทำสมาธิไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก สามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะที่บ้าน ที่ทำงาน หรือระหว่างเดินทาง นั่งรถเมล์คุณก็สามารถทำสมาธิได้ เพียงคุณตั้งจิตนึกถึงคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์
คุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ จงมาดลบันดาลรวมใจของข้าพเจ้า จงรวมลงเป็นสมาธิ พุทโธ ธรรมโฆ สังโฆ ๆ ๆ  พุทโธ ๆ ๆ พร้อมทั้งหลับตา มือขวาวางทับบนมือซ้าย ถ้านั่งอยู่กับพื้นก็ให้นั่งขัดสมาด
เท้าขวาทับเท้าซ้าย แต่ถ้านั่งบนเก้าอี้ก็นั่งปกติ และเริ่มบริกรรม "พุทโธ ๆ ๆ " ในใจไปเรื่อยๆ เมื่อจิตเริ่มคิด
พุทโธ ๆ มันก็จะเริ่มตัดความฟุ้ซ่านในใจ ทำให้จิตเริ่มนิ่ง และค่อยๆสงบ แต่ถ้าจิตยังไม่นิ่งยังคิดโ้นนนี่อยู่
ก็ค่อยๆดึงกลับมานึก พุทโธ ๆ ใหม่ไปเรื่อยๆจนกว่าจิตนิ่ง ก็จะรู้สึกสบายเนื่องจากประสาทไม่ต้องเต้นตึบๆ
ความเครียดก็ค่อยจางลง คุณรู้สึกสงบลงไปเรื่อยๆอาจจะสักเพียงแค่ 5 นาที่สำหรับคนที่เวลาน้อยหรือไม่ค่อยมีเวลาแต่ ควรทำในตอนเช้าที่บ้านก่อนออกจากบ้านสัก 5 นาที ตอนกลางวันหลังทานข้าวเที่งก่อนเริ่มงานสัก 5 นาทีและก่อนนอนสัก 5 นาทีวันหนึ่งก็ 15 นาที่ทำทุกวัน เดือนหนึ่งตก 550 นาที่ประมาณ
7ชั่วโมงครึ่ง ก็เกินกว่ามาตราฐานขั้นต่ำ 6 ชั่วโมงแล้ว สำหรับพลังจิตที่เราสะสมเอาไว้จากการทำสมาธินี่จะไปคอยควบคุมสติของเราให้รู้เท่าทันอารมณ์ในแต่ละวัน และถ้าเรามีเวลาทำเพิ่มมากขึ้นในแต่ละวันและทำไปเรื่อยๆ พลังจิตของเราก็จะแข็งแกร่งขึ้นก็จะควบคุมอารมณ์โกธร โลภ หลงให้เบาลง

    ซึ่งพระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินทโธ ผู้ที่ก่อตั้งสถาบันพลังจิตตานุภาพ วัดธรรมมงคล ได้เขียนไว้ว่า" หน้าที่ของพุทธบริษัทจะต้องรับผิดชอบร่วมกันที่จะรักษาศิล-สมาธิ-ปัญญา โดยเฉพาะสมาธิถือว่าเป็นจุดสำคัญที่ต้องช่วยกันรักษาเพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคมโลก เพราะว่ามนุษย์ในโลกทุกคนก็ต้องมีความรับผิดชอบร่วมกันที่จะรักษาโลกนี้ไว้เพื่อความสงบสุข แต่ในขณะที่ชาวโลกได้ใช้แต่พลังจิตไปทุกวันๆ ไม่เคยคิดนำพลังจิตเข้ามาเลย จึงทำให้พลังจิตเสื่อมสภาพเร็วกว่าที่ควร เมื่อพลังจิตเสื่อมสภาพหมดก็จะไม่สามารถควบคุมจิตได้จึงเกิดความเครียด เมื่อความเครียดแผ่กระจายมากเท่าไหร่มนุษย์ต่อมนุษย์จะเกิดความขัดแย้งกันมากขึ้น

     สมาธิเ่ท่านั้นที่จะนำพลังจิตกลับคืนเข้าสู่ใจของมนุษย์ทำให้มนุษย์ได้เพิ่มพลังจิตขึ้น โดยวิธีที่ง่ายที่สุด ไฮเทคที่สุด จนสามารถเสริมสร้างพลังจิตให้มากและมากขึ้น ในที่สุดก็จะสามารถควบคุมจิตนั้นได้
ลดความเครียดลงได้เพราะอาศัยสมาธินี้


                                      .หัวเราะเยาะตัวเองเสียบ้าง
                                       สมนำ้หน้าตัวเองเสียบ้าง
                                      พร้อมด้วยเสียงหัวเราะเบาๆของเราเอง
                                      คิดบ้างว่าเราเป็นเพียง
                                       ตัวตลกตัวหนึ่งของโลกเท่านั้น