วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

คิดอย่างไรจึงมาอยากบวชตอนอายุขึ้นเลขสี่

    คนเราต้องเคยเข้าวัดทุกคน ไม่ว่าตอนเด็กๆ ตามพ่อแม่ไปทำบุญที่วัด ไปเวียนเทียน หรือไม่ก็เรียนโรงเรียนวัด ดั้งนั้นต้องเคยเห็นพระ ผูกพันกับวัด เคยทำบุญ สวดมนต์ ทำสมาธิ รักษาศิลกันมาทุกคน
แต่เมื่อเราโตขึ้นเป็นวัยรุ่นความสนใจอาจเริ่มๆห่างๆ เพราะเราไปสนใจเรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะติดเพื่อน ไป
เทียว  และเมื่อเราโตขึ้นไปอีกเรื่อยๆจนเข้ามหาลัย  ถ้าเราไม่ฝักไฝ่ธรรมะจริงๆเราก็ไม่เลือกเข้าชมรม
พุทธศาสนา เราก็จะลืมวัด ลืมพระ ลืมสวดมนต์ และลืมรักษาศิลไปเลย
    จนเราจบการศึกษาเริ่มทำงาน มีเงิน เราก็ลืมที่จะทำบุญ ทำทาน ชีวิตก็ห่างไกลศาสนา ห่างไกลคำสอนของพระพุทธเจ้า ชีวิตก็ดำเนินไปแบบคนบาปผิดศิลไปเรื่อยๆ จนกระทั้งชีวิตเริ่มมีปัญหา ทำอะไร
ก็ไม่สำเร็จ ทำอะไรก็ติดๆขัดๆ  ชีวิตเริม่ผิดหวังและเป็นทุกข์  ทุกข์ขึ้นเรื่อยๆ ความสุขเริ่มลดลงเรื่อยๆ
นั้นแหละเราจะเริ่มหาทางออกของการที่ใจเราเป็นทุกข์ โดยเริ่มที่จะนึกถึงวัด นึกถึงพระพุทธรูปจะต้อง
ไปวัด ไปไหว้พระ ไปบนบานศาลกล่าวต่างๆนาๆที่จะทำให้ใจที่เป็นทุกข์หายทุกข์และพอใจเป็นสุข ก็
เริ่มห่างวัด เวลาทุกข์ก็กลับมาเห็น วัดเป็นโรงพยาบาลรักษาโรคทางใจ   นั้นแหละตัวผมก็ใช่ด้วยแต่ก็
ต้องถือว่ายังดีที่เวลาเราทุกข์ก็ยังนึกถึงวัด เป็นที่พึ่งทางใจแม้ว่าจะเป็นการชั่วคร้งชั่วคราวก็เถอะ 
    นั้นเป็นเพราะลึกๆผมก็ยังมีธรรมะ พระพุทธ พระสงฆ์เป็นที่พึ่งทางใจอยู่แม้ว่าอายุจะผ่านไปเรื่อยๆ
แต่ธรรมะของผมก็ยังไม่ได้พัฒนาไปถึงไหนผมยังใช่ธรรมะเป็นเพียงทางผ่านหรือเป็นแค่ศาลาพักใจ
เท่านั้นเองและก็ไป ไม่เคยคิดที่จะยึดพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์เป็นบ้านที่ถาวรของจิตใจ จวบ
จนกระทั้งคุณพ่อได้จากไปซึ่งก็ไปเร็วจนเราไม่เคยคิดมาก่อน ทำให้ผมได้กลับทำงานศพที่วัดที่บ้าน
ทำให้ได้ข้อคิดจากการจากไปของคุญพ่อ ว่าความไม่แน่นอนคือความแน่นอน ชีวิตที่ผ่านมาเราได้
ทำอะไรให้กลับผู้มีพระคุญของเราหรือยัง เราเคยบวชไหม เพราะคนเป็นพ่อแม่ทุกคนอยากให้ลูกชาย
บวชให้เพราะการบวชพระเป็นบุญใหญ่ อนิสงฆ์ของการบวชจะส่งผลให้ผู้ที่เป็นพ่อแม่ได้ขึ้นสวรรค์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น